TVI Express

0 ความคิดเห็น




ระเบิดความเป็น 1 ทางด้านธุรกิจ

กับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของ TVI Express






ด้วยวิธีการทำงานที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และง่ายต่อการรับรายได้
ไม่ว่าคุณจะมีประสบการณ์หรือไม่ คุณลืมมันไปซะ แล้วตัดสินใจเริ่มใหม่
คุณจะได้พบกับคำว่า ธุรกิจออนไลน์ ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
นั่นคือ TVI Express





TVI Express ธุรกิจที่สวนกระแสเศรษฐกิจของโลก
เปิดตัวครั้งแรกเพียง 50 ประเทศ แต่นะตอนนี้ กว่า 150 ประเทศ แล้วที่ได้ร่วมกันทำธุรกิจ TVI Express และเติบโตไปเรื่อยๆ เพราะ TVI Express มีตัวตนจริง และได้รับการยอมรับจากหุ้นส่วนทั้งหมดที่ได้ลงนาม และยินยอมให้เอาโลโก้ขึ้นโชว์ และคุณยังกังวลอะไรกันอยู่
TVI Express คืออะไร
แท้จริงแล้ว TVI Express คือบริษัทที่ให้บริการที่พัก และการเดินทางสำหรับสมาชิก ด้วยราคาที่ถูกกว่า เอเจนซี่ทั่วไป แล้วทำไมถึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพระ TVI Express ได้มอบโอกาสให้สมาชิกทุกคน ได้มีส่วนร่วมในการทำธุรกิจ และรับเงิน ปันผลที่สูงมาก จึงทำให้มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่กลับมีรายได้ไปอีกทาง
TVI Express มอบโอกาสที่ดีให้กับคุณ ที่เป็นสมาชิก
มีการยืนยันมาแล้ว จากการติดต่อไปของสมาชิกกับโรงแรมในประเทศไทย ได้ส่วนลดจริง และสูงกว่าเอเจนซี่แน่นอน




รูปแบบธุรกิจของ TVI Express
คุณคงสนใจอยากที่จะได้หลักฐานการรับรายได้จริง และข้อมูลใหม่ๆที่ TVI Express
ได้พัฒนามา รวมทังหลักฐานการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง

โปรดกรอกข้อมูลของคุณทางด้านขวามือ
(ข้อมูลทั้งหมดเป็นความลับ ไม่มีการนำไปเผยแพร่ที่ไหนทั้งสิ้น)



ดูความน่าเชื่อถือของบริษัท"TVI Express"จาก Alexa


คลิ๊กที่นี่เพื่อไปที่ www.alexa.com และดูกราฟจริง
http://www.alexa.com/siteinfo/tviexpress.com




ที่พักสุดหรูระดับ 5 ดาวในวันหยุดพักผ่อน 6 คืน 7วัน
รับรายได้แบบไม่จำกัดรอบกับระบบของ TVI Express
ข้อเสนอโปรโมชั่นดีๆที่ท่านได้รับสามารถนำไปใช้ได้ตลอด
สิทธิพิเศษ VIP ซึ่งเปิดโอกาสเฉพาะท่านสมาชิกที่จะได้เข้าร่วม
ออฟฟิศออนไลน์ ที่คุณสามารถทำธุรกิจตลอด 24 ชั่วโมง






โปรดกรอกข้อมูลของคุณทางด้านขวามือ
(ข้อมูลทั้งหมดเป็นความลับ ไม่มีการนำไปเผยแพร่ที่ไหนทั้งสิ้น)



Form Appication

0 ความคิดเห็น

TVI Express Asia

0 ความคิดเห็น
นี่คือโอกาสสำหรับคุณที่จะได้ร่วมเป็นหนึ่งกับทีมงานที่มีสายงาน

ที่มีสายงาน 7 ประเทศรวมกัน นั่นก็คือ



ไต้หวัน มาเก๊า เวียดนาม กัมพูชา ฮ่องกง ประเทศไทย

และล่าสุดเรามีแม่ทีมจากอเมริกาที่ได้ตัดสินใจมาร่วมธุรกิจกับทีมเรา



เราเป็นทีมงานสายเดียวที่ได้จับมือกับ 7 ประเทศ เพื่อสร้างธุรกิจให้เติบโต เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุด เพราะเรามุ่งเน้นการ
สร้างทีมงานมากกว่าการลงทุน



ทำไมต้อง TVI Express

ที่พักสุดหรูระดับ 3-5 ดาวในวันหยุดพักผ่อน 6 คืน 7วัน
ตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ
ข้อเสนอโปรโมชั่นดีๆที่ท่านได้รับสามารถนำไปใช้ได้ตลอด
สิทธิพิเศษ VIP ซึ่งเปิดโอกาสเฉพาะท่านสมาชิกที่จะได้เข้าร่วม
ออฟฟิศออนไลน์ ที่คุณสามารถทำธุรกิจตลอด 24 ชั่วโมง
เป็นธุรกิจที่รวบรวม 3 ธุรกิจที่สร้างมหาเศรษฐีทั่วโลก
ง่ายกว่า MLM 10 เท่า
ลงทุนครั้งเดียวไม่ต้องรักษายอดรายเดือน
รับเงิน 500,000 บาทไม่จำกัดจำนวนครั้ง



ทำไมต้อง Asia Team

เรา เป็นทีมที่รวมนักธุรกิจจากไต้หวัน, มาเก๊า, เวียดนาม, ฮ่องกง, กัมพูชา และไทยเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของคุณที่จะมีสายงานต่างชาติและสร้างรายได้ๆอย่างรวดเร็ว
เราเน้นที่การสร้างทีมมากกว่าการลงทุน เพราะคุณจะมีรายได้เกิดขึ้นเร็วหากคุณมีทีมที่แข็ง
คุณจะได้รับ เว็บไซด์ธุรกิจ ที่ช่วยอธิบายรายละเอียดทั้งหมด พร้อมระบบอีเมล์ติดตามผลอัตโนมัติให้คุณ
คุณจะได้รับเครื่องมือในการทำธุรกิจ + คู่มือสอนงานออนไลน์


ดูความน่าเชื่อถือของบริษัท"TVI Express"จาก Alexa


คลิ๊กที่นี่เพื่อไปที่ www.alexa.com และดูกราฟจริง
http://www.alexa.com/siteinfo/tviexpress.com

หลักการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ

1 ความคิดเห็น
การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการวางแผนให้เป็นระบบ และทำงานอย่างชาญฉลาดเรียกว่า work smart ที่เป็นการทำงานโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อทำงานให้มีคุณค่ามากที่สุด โดยมีหลักของการบริหารดังนี้

1.การบริหารเวลา

2.การบริหารงาน

3.การบริหารคน

หากประสิทธิภาพครบทั้ง 3 ข้อนี้แล้ว งานจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

การบริหารเวลา
คือการกำหนดเวลาทำงานแต่ละอย่างแต่ละชิ้นไว้ล่วงหน้าในแต่ละวัน เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนกี่โมง ตื่นแล้วทำอะไรบ้าง แล้วออกไปทำงาน มีนัดกับใครบ้างในแต่ละวัน ใช้โทรศัพท์ นานเท่าไหร่ เลิกงานทำอะไรบ้าง จัดสรรวันพักผ่อนอย่างไร ออกกำลังกายกี่โมง จนไปถึงดินเนอร์และก่อนเข้านอน ซึ่งแต่ละช่วงของแต่ละวัน ฉะนั้นต้องมีแพลนนิ่งที่ดี ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะต้องมี planning ซึ่งเป็นเหมือนปฏิทินลงบันทึกประจำวัน เพื่อเตือนความจำไว้ล่วงหน้า อันจะนำพาให้งานบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้

การบริหารงาน
คือการจัดสรรความสำคัญ ลำดับเวลาของการทำงาน อันไหนควรทำก่อน อันไหนควรทำทีหลัง งานไหนควรทำเอง และอันไหนควรให้ผู้อื่นทำ และควรมอบงานให้กับใครทำ ซึ่งมี อยู่ถึง 4 ประเภทได้แก่

1.งานสำคัญและเร่งด่วน เป็นงานที่ควรทำด้วยตัวเอง และต้องทำทันที เพราะหากให้คนอื่นไปทำ อาจจะไม่ดีเท่า เช่นงานประชุมสัมมนา การเจรจาต่อรอง เป็นต้น

2.งานสำคัญ แต่ไม่ด่วน เราควรทำงานนี้ ซึ่งอาจจะเป็นงานที่เกี่ยวกับการวางแผนเป้าหมาย ช่วยทีมงานวางแผนการทำงาน

3.งานด่วน แต่ไม่สำคัญ งานนี้ควรมอบหน้าที่ให้คนอื่นทำ เพราะเรามีงานอีกมากมายที่ต้องกระทำเช่นการนัดหมาย งานพิมพ์ งานจัดเอกสาร การจัดเตรียมข้อมูลเป็นต้น

4.งานทั่วไป เป็นงานไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน ให้คนอื่นทำไปเถอะ เช่นงานทำความสะอาด เช็ดโต๊ะ ถูโต๊ะ เป็นต้น

ผู้บริหารที่ดีจะทำงานประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 เท่านั้น

การบริหารคน คือการสร้างสื่อสายสัมพันธ์ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล
โดยธุรกิจเครือข่าย มีหลักการบริหารคนที่จะทำให้ประสบความสำเร็จดังนี้

1.recruit แนะนำหรือชักชวนคนมาร่วมงานตลอดเวลา เมื่อมีโอกาส โดยทำอย่างมีระบบ และมีการตระเตรียมมาอย่างดี

2.trainning การฝึกอบรมคอร์สต่าง ๆ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนไปถึงขั้นสูง ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นหัวใจในการบริหารคน ทำให้การทำงานของแต่ละคนมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ทีมงานแข็งแกร่ง

3.motivate การกระตุ้นให้กำลังใจ สร้างพลังในการทำงานเช่นการแข่งขันชิงรางวัลอันทรงเกียรติ การจัดโปรโมชั่นการแข่งขันไปท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นต้น

4.supervise การควบคุมดูแล การเอาใจใส่ทีมงานอย่างใกล้ชิด ด้วยจิตไมตรีและจริงใจต่อกัน

การขึ้นตำแหน่งและโครงสร้างคอมมิชชั่น

0 ความคิดเห็น
TVI Express คอมมิชชั่น สามารถมีได้ไม่จำกัดชั้นลึก (Infinity) ขึ้นอยู่กับการมีตำแหน่งแตกต่างกันในองค์กรของคุณ
ตามตารางที่อยู่ข้างล่างนี้ คือตารางการคำนวนคอมมิชชั่นของผู้นำที่มีตำแหน่งแตกต่างกัน




  1. Gold Associate : 5% of Group Sales
  2. Diamond Associate : 7% of Group Sales
  3. International Diamond : 8.5% of Group Sales
  4. Platinum Associate : 10% of Group Sales
  5. Presidential Associate : 10% of Group Sales + 2% World Sales



ความแตกต่าง ธุรกิจเครือข่าย (MLM) กับแชร์ลูกโซ่

0 ความคิดเห็น
ความแตกต่างระหว่างธุรกิจเครือข่าย (MLM) กับแชร์ลูกโซ่


ธุรกิจการตลาดขายตรงแบบหลายชั้น (Multi-Level Marketing หรือ MLM) คือ
ช่อง ทางการจัดจำหน่ายสินค้าช่องทางหนึ่งในการตลาด และการขายเท่านั้นเอง เพียงแต่มีลักษณะเฉพาะตัวเองบางอย่างที่แตกต่างออกไปบ้างจากธุรกิจประเภท อื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังของผู้จำหน่าย หรือที่เรียกว่า “มนุษย์ MLM” ซึ่งมหัศจรรย์มาก พวกเขาไม่ใช่ลูกจ้าง พวกเขาไม่มีเงินเดือน พวกเขาไม่มีนาย พวกเขาไม่มีลูกน้อง ไม่มีใครสั่งให้เขาทำงาน แต่พวกเขาและกลุ่มในธุรกิจของเขาต่างก้มหน้าก้มตากันทำงานอย่างขยันขันแข็ง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน กอดเกี่ยวกันไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน เป็นเครือข่ายใหญ่บ้างเล็กบ้าง จึงมีผู้เรียกธุรกิจ MLM นี้อีกอย่างหนึ่งว่า “ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย”


ทัศนคติ ต่อการทำธุรกิจ MLM เป็นของตัวท่านเอง ความนึกคิดและความรู้สึกของท่านจะสะท้อนออกมาในผลงาน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง ไม่มีบุคคลอื่นใด มิได้ขึ้นอยู่กับการศึกษาที่สูงกว่า หรือได้รับมรดกมาจากเครือญาติ หรืออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดีกว่า หรือแม้กระทั่งเกิดมาด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่ได้เปรียบกว่า หรือที่เราเรียกว่าอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจที่ดีกว่า ไม่มีใครที่จะมามีโอกาสมากกว่าท่านในการที่จะประสบความสำเร็จ เพราะธุรกิจ MLM ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันทุกประการ


ธุรกิจMLM ความสำเร็จเกิดจากความสามารถในการบริหารความอิสระ และความรับผิดชอบ ในธุรกิจนี้ทุกคนต้องบริหารเวลา โดยมีพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน คือ วันละ 24ชั่วโมง เหมือนกัน



ใน ธุรกิจ MLM ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ การขายระบบเครือข่ายไม่ใช่การรวยทางลัด หรือการรวยข้ามคืน ผู้ที่ร่ำรวยในธุรกิจนี้ส่วนใหญ่ คือผู้ที่ค่อยๆเติบโตในธุรกิจโดยความเพียรพยายามที่สม่ำเสมอ และต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้เท่าเทียมกัน ในการที่จะทำรายได้สูงสุดโดยไม่มีขีดจำกัด ซึ่งเป็นการทำงานให้ตัวเองด้วยตนเองอย่างจริงจัง



การ ขายระบบเครือข่ายไม่ใช่ความสัมพันธ์ระบบลูกจ้างนายจ้าง แต่ท่านกำลังทำงานร่วมกับบริษัท ความสำเร็จของบริษัทขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวแทนจำหน่ายอิสระ และความสำเร็จของตัวแทนจำหน่ายอิสระก็ขึ้นอยู่กับการทำงานเป็นทีม การ ขายระบบเครือข่ายเป็นธุรกิจที่รายรับไม่ได้ขึ้นอยู่กับการชักจูงคนเข้าร่วม ธุรกิจซึ่งการให้ผลตอบแทนจากจำนวนสมาชิกที่ท่านแนะนำ (ค่าแนะนำ) เข้าสู่บริษัทซึ่งเป็นการผิดทั้งจรรยาบรรณและกฎหมาย ในธุรกิจนี้ท่านจะได้รับผลตอบแทนก็ต่อเมื่อ ตัวท่าน และสมาชิกในเครือข่ายสามารถกระจายสินค้าได้เท่านั้น เมื่อเริ่มต้นทำแล้วอย่าเหลียวมองข้างหลัง ให้เวลากับตัวเองอย่างน้อย 1ปี เลือกสินค้าและบริษัทเพียงบริษัทเดียว เพราะยังไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจกับหลายๆบริษัทในเวลา เดียวกัน ธุรกิจนี้มีรากฐานมาจากความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ และผู้แนะนำ ถ้าท่านกำลังพยายามเหวี่ยงแห ท่านกำลังทำลายความน่าเชื่อถือของท่านเอง และอายุงานในธุรกิจเครือข่ายของท่านก็จะสั้นลงไปด้วย


ระบบพีรามิดผิดกฎหมาย (ระบบแชร์ลูกโซ่)


หลายๆ คน หลายๆหน่วยงานระบุว่าให้ระวังพีรามิดในการดำเนินธุรกิจขายตรงระบบเครือข่าย แต่ไม่มีใครออกมาอธิบายให้ชัดเจนว่าระบบดังกล่าวเป็นอย่างไร และแตกต่างจากระบบMLM อย่างไร ในบางกรณีผู้บริหารบริษัทMLM บางบริษัทเองก็ยังตอบคำถามนี้ได้ไม่ชัดเจน ระบบพีรามิด เป็นระบบฉ้อโกงในการทำรายได้ที่จำเป็นต้องมีผู้สมัครเข้าสู่ระบบดังกล่าว อย่างไม่มีวันสิ้นสุด จึงจะประสบความสำเร็จ เช่น นาย(ก) นำเงินจ่ายให้ผู้ที่แนะนำตนเข้าสู่ระบบ และแนะนำนาย(ข) จากนั้นนาย(ข) แนะนำนาย(ค) และก็จะได้รับเงินค่าแนะนำจากนาย(ค) ซึ่งแนะนำต่อไปเรื่อยๆ ส่วนรายได้จากแผนการตลาดจะมีการกำหนดจำนวนคนที่แนะนำเป็นจำนวนแน่นอน เช่น แนะนำ 10คน, 20คน กำหนดวันรับเงินค่าคอมมิชชั่นแน่นอน เช่น ทุกวันที่ 15 และ 30 ของเดือน การแนะนำเข้าสู่ธุรกิจไม่นิยมแนะนำผลิตภัณฑ์ จะชวนกันเรื่องแผนการตลาดเป็นส่วนใหญ่ กรรมวิธี ของระบบพีรามิดจะซับซ้อน แต่เป็นขั้นเป็นตอนและพลิกแพลงไปเรื่อยเพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมาย ขอยกตัวอย่างที่พื้นฐานที่สุด เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจ ในระบบนี้ผู้แนะนำจะขอให้กลุ่มเป้าหมายจ่ายเงินค่าสมัคร (สมมุติว่า 500บาท) ในค่าสมัคร 500บาทนี้ ผู้แนะนำจะได้รับ 200บาทเป็นค่าแนะนำ เมื่อสมัครแล้วก็จะทำการแนะนำคนอีก 10คน เข้าสู่ระบบโดยจ่ายเงินค่าสมัครคนละ 500บาทเช่นกัน ผู้แนะนำจะได้รับเงินจากค่าสมัครที่แนะนำเข้าสู่ระบบ 200 X 10 = 2,000 บาท ในขณะที่เขาจ่าย 500บาท คิดแล้วมีกำไร 1,500บาท หากจะทำให้ทุกคนได้รับเงิน จะต้องมีสมาชิกใหม่เข้าสู่ระบบตลอดกาล ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ

ฉะนั้น ในระบบพีรามิดนี้จะมีคนเป็นจำนวนน้อยที่ได้รับเงินปริมาณมาก ขณะที่คนส่วนใหญ่จะเสียเงินตามที่ได้ลงทุนไป การที่ระบบพีรามิดถูกกำหนดว่าผิดกฎหมายเพราะการที่จะให้ผู้สมัครจ่ายเงินได้ นั้น ผู้แนะนำจะต้องบอกผู้สมัครผู้นั้นว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าเงินลงทุน โดยเพียงแนะนำคนไม่ต้องขาย ไม่ต้องทำอะไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ระบบในลักษณะดังกล่าวจึงเข้าข่ายการหลอกลวง ระบบพีรามิดได้ถูกกำหนดว่าผิดกฎหมายเพราะวิธีการชักจูงคนเข้าสู่ระบบ และทำให้บุคคลนั้นแนะนำบุคคลอื่นเข้าสู่ระบบ ซึ่งที่จริงเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องทั้งแง่กฎหมายและคุณธรรม ระบบนี้ไม่ได้ผิดกฎหมายเพราะการให้เงินแก่บุคคลอื่นนั้นไม่ผิดกฎหมาย แต่ที่ระบบนี้ผิดกฎหมายเพราะเป็นระบบที่ทำให้คนเข้าใจผิดว่าจะสามารถได้รับ ผลตอบแทนโดยขอให้ผู้สมัครจ่ายเงินลงทุน ซึ่งตรงกับภาษากฎหมายว่า “ฉ้อโกง” โดยกระทำในลักษณะแยบยลต่างๆกัน ธุรกิจไหนเป็นพีรามิดหรือไม่ มีแบบกว้างๆให้พิจารณาได้ดังนี้

  • รายรับของสมาชิกต้องเกิดจากความสามารถในการกระจายสินค้าโดยตนเองและทีมงานเท่านั้น
  • สินค้านั้นจะต้องมีผู้บริโภคอย่างแท้จริง มิใช่ซื้อไปเพื่อหวังรายได้ตอบแทนแต่อย่างเดียว
  • บริษัทต้องไม่หวังทำกำไรจากค่าสมัครสมาชิก แต่ได้กำไรจากการจำหน่ายสินค้าเป็นหลัก




หัวใจ ของการตลาดระบบเครือข่าย คือ ผู้ขายจะต้องเคยใช้สินค้าชนิดนั้นมาแล้ว และเห็นว่าสินค้านั้นมีคุณประโยชน์จริงๆ จากนั้นจึงแนะนำสินค้าให้แก่ญาติมิตร โดยได้รับการแบ่งกำไรในการมีส่วนช่วยกระจายสินค้านั้นอย่างยุติธรรม อะไรก็ตามที่เข้าสู่ระบบ การนำเงินจากผู้สมัครใหม่ไปจ่ายให้แก่ผู้แนะนำโดยเงินนั้นมิได้มาจากการ กระจายสินค้าเพื่อบริโภค แต่กลับกลายเป็นเงินลงทุนโดยหวังผลตอบแทนที่มากกว่าเดิม ให้เข้าใจว่าระบบนั้น คือ ระบบพีรามิดจำแลง หรือไม่ก็ จอมปลอม

ความคิดของคนไทยต่อ MLM

0 ความคิดเห็น
หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดี เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย เช่น โดนตื้อจนรำคาญ
เคยทำแล้วแต่ไม่สำเร็จ
เคยโดนหลอกไปในวงจรแชร์ลูกโซ่

ทั้ง นี้ แท้จริงแล้ว ธุรกิจเครือข่าย ก็คือ ธุรกิจประเภทนึงครับ หากทำอย่าง"ถูกวิธี" และมีความเป็นอาชีพมากพอ ก็จะสามารถไปสู่อิสรพภาพทางการเงินได้ครับ

คน ส่วนใหญ่เข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย เพราะหวังรวยทางลัด กะว่าสมัครปุ๊บรวยปั๊บ โดยไม่ได้เข้าใจถึงวิธีการที่ถูกต้อง ทำตัวเป็นแมลงสาป คอยจ้องแต่จะชวนคนทุกๆคนในรัศมี 1 เมตร รอบตัว

พาลทำให้เสียเพื่อนไปเลยทีเดียว...
โดยเฉพาะในประเทศไทย หลายๆคน ทำธุรกิจเครือข่ายแบบผิดๆ

ใน ประเทศที่เจริญแล้ว อย่างญี่ปุ่น พบว่า เป็นประเทศที่มีบริษัทที่เป็นธุรกิจเครือข่าย มากที่สุดในเอเชีย รองลงมาน่าจะเป็นไต้หวัน และประชาชนส่วนใหญ่ของเค้า เปิดใจยอมรับ ธุรกิจเครือข่าย เพราะประเทศเค้า"ทำถูกวิธี" ไม่ตื้อ ไม่เซ้าซี้ และ กฏหมายเข้มงวด ไม่มีแชร์ลูกโซ่ระบาด

ธุรกิจ เครือข่าย นำรายจ่ายจากส่วนของโฆษณา ค่าส่ง ค้าปลีก มาเป็นรายได้ให้กับสมาชิก เพราะธุรกิจเครือข่าย อาศัยการกระจายสินค้า โดยสมาชิก หรือนักธุรกิจอิสระ

ที่เรียกว่าธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่เพราะว่าให้ดูดีหรอกครับ แต่มันมีความแตกต่างระหว่างคำว่า "ขายตรง" กับ "ธุรกิจเครือข่าย"

หลายๆคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในโมเดล ที่แท้จริงของธุรกิจเครือข่าย เพียงแต่ฟังเค้าเล่าต่อๆกันมา ฟังมาว่าอย่างไร ก็คิดไปอย่างนั้น
ผม อยากจะบอกว่า มันก็คือธุรกิจที่ทำเป็นอาชีพได้จริง ธุรกิจ นี้ถ้าคิดจะทำให้ประสบความสำเร็จจริงๆ คุณก็ต้องเรียนรู้ให้มากครับ เหมือนกับคุณอยากเป็นนักบัญชี คุณก็ต้องไปเรียนคณะบัญชี คุณจะทำธุรกิจเครือข่าย แต่ไม่เรียนรู้วิธีการที่ถูกต้อง คิดแค่ว่า "จะชวนคนให้เยอะๆ" แบบนี้ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกครับ ถ้าคุณจะไม่ประสบความสำเร็จ และคนรอบข้างก็ค่อยๆหายไปจากชีวิต

ทำไมต้อง MLM ?

0 ความคิดเห็น
mlm ย่อมาจาก muti level maketting mlm คือ ระบบ การวางแผนการตลาด การค้ารูปแบบหนึ่ง ซึ่งส่วนมากมองข้ามไป เป็นวิวัฒนาการ ของการคิด การค้า แบบให้ผลตอบแทน หลายชั้น หลายระดับ ทั่วไปมักมองว่าเป็นลูกโซ่ หรือปิรามิด ถ้าลองศึกษาลงไปจะเห็นว่าเป็นระบบที่ดี ตัวอย่างการมอง อยู่ว่าเรามองอย่างไร
  • หลาย คนมองว่า คนมาก่อนได้เปรียบ คนอยู่บนเอาเปรียบ ท่านลองมองระบบงานปัจจุบันครับงานราชการ เป็นปิรามิดที่ชัดเจนที่สุด คือ มี ระดับชั้น ของ ข้าราชการ เช่นมี ซี 1,2,3,4..... อย่างนี้เป็นปิรามิด ไหมครับ มี ซี 1 จำนวนมาก ซี 2 ก็มีน้องลง จนถึง ซี 11 มีกี่คน
  • บริษัท ทั่วไป ถ้าเราเข้าไปเช่น เริ่มจาก พนักงานขาย การจะได้เป็น รองหัวหน้าหน่วย ต้องใช้เวลา และมีรองหัวหน้าหน่วยกี่คน หัวหน้าหน่วยล่ะ อาจมี ซุปเปอร์ไวเซอร์ แล้วมีได้กี่คน และต้องการเป็นผู้จัดการล่ะ มีได้กี่คน

นี่ แค่เขียนถึงระบบโดยกว้างๆนะครับ ถ้าเจอะลึกลงไป ยังมีสิ่งที่เราอาจขำไม่ออก เช่น วันนี้เราได้งานเป็น พนักงานขาย พร้อมด้วยเพื่อนรักเราคนหนึ่ง ที่พร้อมตายแทนเราได้ ผ่านไป5 ปี เราและเพื่อนต่างขยันขันแข็งทำงานได้ดีมาก บริษัทเปิดโอกาส ให้เราเลือนตำแหน่ง เป็นผู้จักการ แต่ผู้จักการมีได้กี่คนครับ ส่วนมากหนึ่งเดียว ท่านคิดอย่างไร

  • ให้เพื่อนเป็นไปก่อน แต่ผลงานเราดีกว่าเพื่อนอยู่นิดหน่อย
  • เราเป็นเองดีกว่า (แล้วเพื่อนท่านล่ะคิดอย่างไร)

อย่าพึ่งดีใจครับท่าน ปรากฎว่า หลายชายเจ้าของ จบโท มาจากนอกด้านการตลาด ได้เป็นครับ

นี่แค่ตัวอย่างนะครับ

MLM ให้อะไร ใช่เรื่องแรกต้องควรรู้ก่อนว่าให้อะไร ใช่ไหมครับ จะได้ใช้เป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจ จากการศึกษาถึงระบบ mlm สิ่งได้พบจุดเด่น ของระบบนี้ คือ
ความเท่าเทียม หรือ โอกาส การสร้างธรุกิจ(รายได้)
การไม่จำกัดรายได้
ไม่จำกัดเวลา

ข้อเสีย คนไม่เข้าใจแล้วนำไปคิดเอง โดยไม่ศึกษา และนำไปถ่ายทอดแบบไม่ถูกต้อง

mlm เหมาะกับใคร เรื่องนี้บอกได้อย่างเดียวว่า เหมาะสำหรับทุกท่าน การสร้างธุรกิจ mlm คือการสร้างเครื่องข่าย ใครสร้างได้มาก ย่อมมีรายได้มาก ในความเห็นส่วนตัว ผมว่าน่าที่สร้าง ธรุกิจ mlm ไว้สำรอง ถึงท่านจะทำอะไรอยู่ก็ตาม เพราะ mlm ไม่มีต้นทุนเพิ่ม มีแต่ รายได้เพิ่ม

ความกลัว ทำให้คุณล้มเหลว

0 ความคิดเห็น
อันดับ 1 นั้นก็คือ ความกลัว

ไม่ มีใครที่สามารถเอาชนะความกลัวได้ครับ ไม่ว่าการที่คุณจะต้องไปคุยเรื่องงานกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง การโทรศัพท์หาผู้มุ่งหวัง การคุยกับคนที่มีความสามารถมากกว่า การตามงานสำหรับคนที่มีความสนใจ หรือแม้กระทั่ง การรับผิดชอบในตัวดาวน์ไลน์ของคุณ และนั่นก็เลยทำให้คุณเองต้องล้มเหลวไปจากธุรกิจนี้อย่างง่ายดาย

หากคุณเจอคำปฏิเสธ เรื่อยๆ ความกล้าของคุณก็จะกลายเป็นความหวาดกลัวไปทันที

ตั้งแต่ก่อนที่คุณจะเริ่มทำ MLM คุณก็จะเริ่มพบความกลัวดังต่อไปนี้

กลัวว่าทำได้จริงหรือไม่
กลัวที่จะไปสปอนเซอร์ใคร หรือ ขายใคร
กลัวที่จะกลายเป็นผู้นำ ที่ต้องพร้อมดูแลดาวน์ไลน์
ไม่มีใครหนีพ้นความกลัวไปได้ครับ แต่มันมีวิธีที่สามารถทำให้ความกลัวหายไปจากใจเราได้

นั่น คือการที่คุณต้องเรียนรู้เรื่องธุรกิจที่คุณทำให้มากขึ้น เพิ่มความมั่นใจให้มากขึ้น การทำงานที่แท้จริงของคุณไม่ใช่การสปอนเซอร์ แต่เป็นการกำจัดความกลัวที่อยู่ในตัวคุณเอง หากคุณกล้าที่จะทำสิ่งต่างๆให้ผลเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ คุณก็จะได้ผลนั้นตอบแทน
ใน ความกลัว 3 ข้อแรกที่ผมได้พูดไป คุณสามารถใช้วิธีการด้านบนได้ในการทำให้ตัวคุณประสบความสำเร็จ แต่ความกลัวที่ผมจะบอกคุณต่อไปนี้คุณไม่สามารถหาวิธีการใดๆมาแก้ไขได้ และทำให้คุณต้องล้มเหลวในธุรกิจนี้ 100%

กลัวว่าวิธีการที่ทำอยู่ไม่สามารถทำได้จริง

และ ความกลัวตัวนี้จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตราบใดที่คุณยังทนทำต่อ จนคุณไม่สามารถทนทำอยู่ในธุรกิจเครือข่ายได้อีกต่อไป การกลัวตรงนี้ไม่ใช่เรื่องผิดครับ เพียงแต่คุณต้องรู้เท่านั้นเองว่าคุณจะทำยังไงหากเกิดความกลัวนี้ คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ถ้าบริษัทนี้ไม่สามารถมีวิธีการทำตลาดที่ทำให้เราสามารถสำเร็จได้จริง ก็จะย้ายไปบริษัทใหม่เรื่อยๆ หากคุณคิดหยั่งงี้ ผมบอกได้เลยว่าให้ย้ายอีก 100 บริษัทก็ไม่สำเร็จ

ตัว แปรของงานนี้ไม่ได้อยู่ที่บริษัทครับ แต่มันอยู่ที่วิธีการทำ คุณสามารถเอาชนะความกลัวได้ด้วยวิธีการที่สามารถทำให้ได้ผลสำเร็จ 100%

เรียน รู้วิธีการทำตลาดแบบใหม่ให้เยอะครับ แล้วคุณจะค้นพบวิธีที่ไม่น่าเชื่ออีกหลายวิธี ที่สามารถขจัดความกลัวออกไปจากใจคุณได้หมดสิ้น และนั่นแหละที่จะทำให้คุณค้นพบวิธีทางที่คุณสามารถประสบความสำเร็จได้อย่าง แท้จริง

การทำการตลาดแบบดึงดูด

0 ความคิดเห็น
การทำการตลาดแบบดึง ดูดเริ่มจากทำให้คนรู้จักเราก่อน หลังจากนั้นเริ่มสร้างความสัมพันธ์ และสุดท้ายท่านก็เริ่มโปรโมตความเป็นมืออาชีพของท่านให้คนเชื่อมั่นในท่าน

การ ทำให้คนรู้จักเป็นสิ่งแรก ท่านต้องรู้ว่าสิ่งที่จะเวิร์คกับการตลาดแบบดึงดูดคือ การทำการตลาดกับระบบสังคมออนไลน์ และใช้ระบบที่สนับสนุนสังคมออนไลน์ social network ที่ท่านต้องเลือกว่าจะใช้เครื่องมืออะไรบ้าง ทีมีในเน็ตอย่างเช่น youtube, facebook, hi5, myspace หรือวิธีอื่นๆที่ท่านถนัด แม้กระทั่งกระทู้ก็ยังได้เลย

ขั้น ต่อมา เป็นการสร้างความสัมพันธ์ เพราะคนจะให้ความเชื่อมั่นและเข้ามาสนใจท่าน เมื่อเขามองว่าท่านเป็นคนน่าคบ มีบางอย่างคล้ายๆกัน หรือท่านให้ความใส่ใจในตัวเขาเป็นอันมากท่านต้องทุ่มเวลาเป็นอันมากในการ สร้างความสัมพันธ์กับคน ท่านต้องกล้าโชว์ความเป็นตัวท่าน รูปภาพของท่านคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ และอย่าทำการอันใดที่เขารู้สึกอึดอัด เพราะสุดท้ายเราจะโดนลบจากระบบของเขาทันที

บางท่านใช้ social network ในการโฆษณาขายของ ขายธุรกิจทันทีที่เริ่ม สิ่งที่เกิดขึ้นสุดท้ายคือท่านจะไม่มีเพื่อนในเครือข่ายเลยเพราะท่านจะโดน เขี่ยจากระบบเขาทันที คนไม่ชอบโฆษณาขยะเหมือนทีผมกล่าวแต่ต้น

ขั้น ต่อมาเป็นการสร้างความเชื่อมั่นได้นั่นคือ การที่เริ่มโปรโมตความเป็นมืออาชีพของตน แต่ไม่ใช่โปรโมตธุรกิจนะครับ เราต้องโปรโมตสิ่งที่จะแก้ปัญหาให้เขา โปรโมตสิ่งต่างๆที่มีในระบบ ความรู้ความสามารถของเราแบบไม่โอ้อวด เอาให้พอเหมาะ ถ้าเป็นไปได้แสดงหลักฐานด้วยยิ่งดี

ขั้นตอนอาจจะดูง่ายๆแต่ต้องใช้เวลา และความใส่ใจเป็นอันมากในขั้นตอนการสร้างความสัมพันธ์ แต่สุดท้ายผลลัพธ์อันมหาศาลจะเกิดขึ้นแน่นอน

การ เป็นมนุษย์แม่เหล็กอีกอย่างคือ ถ้าท่านทำเครือข่ายอยู่แล้ว แน่นอนท่านมีไซด์ไลน์ที่ทำธุรกิจเดียวกับท่าน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วยกันไว้ครับ เพราะไม่แน่อนาคตคือสิ่งไม่แน่นอนท่านอาจจะได้เขามาร่วมเครือข่ายแบบไม่ต้อง เปลืองแรง และคนเหล่านั้นเขามีทักษะที่เหนือกว่าหลายคนที่ไม่เคยทำมาก่อนด้วยซ้ำไป

รู้จัก Search Engine Marketing มีแต่ได้

0 ความคิดเห็น
ใคร ว่าบทความไอทีอ่านแล้วจะมีแต่เรื่องเสียเงิน ทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยหรือสินค้ารุ่นใหม่ที่มักปลุกกิเลสให้ชาวไอทีควักเงิน ในกระเป๋าออกมาจับจ่ายอยู่ตลอดเวลา ต่อไปนี้คือบทความไอทีที่เชื่อว่าจะทำให้ผู้อ่านสามารถทำเงินจากโลกไอทีได้ หากตั้งใจแน่วแน่กับการศึกษาและปฏิบัติจริง

"ผู้จัดการไซเบอร์" ขอนำเสนอบทความชุดเรื่อง "ทำเงินบนโลกไอที" เพื่อแสดงมุมมองของการตลาดออนไลน์ในยุค 2009 จากนานาเจ้าของเว็บไซต์และบริษัทที่เป็นสมาชิกในสมาคมผู้ประกอบการอีคอม เมิร์ชไทย โดยเราจะนำท่านไปทำความรู้จักกับการทำเงินขั้นพื้นฐานในสัปดาห์แรก และจะต่อยอดการทำเงินขั้นสูงขึ้นในสัปดาห์ถัดไป



คุณ มีเว็บไซต์หรือยังค่ะ?? แล้วตอนนี้มีคนเข้าเว็บไซต์ของคุณเป็นจำนวนเท่าไร?? มียอดซื้อออนไลน์มากน้อยขนาดไหน? ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป หากคุณได้รู้จักกับ Search Engine Marketing

คนส่วนใหญ่ที่เปิดเว็บไซต์มาหลายปีแต่ขายสินค้าได้น้อย มักจะคิดว่าเป็นเพราะการไม่มีความรู้เรื่องเว็บไซต์ หรือเพราะการใช้เว็บสำเร็จรูปในการเปิดร้านขายของ จนหลายคนทำใจได้และพอใจกับการขายสินค้าได้แค่นั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันมีเว็บไซต์ขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยที่ใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปธรรมดา ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมาย ที่สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นถึง 400%

เคล็ดลับความสำเร็จอยู่ที่เขาได้รู้จักกับการทำตลาดออนไลน์ ที่เรียกกันว่า SEM ซึ่งหากเราเป็นผู้ประการธุรกิจแบบ ecommerce เราจะสามารถวัดค่า ROI (Return Of Investment) ได้ดีทีเดียว

ใช้เสิร์ชเอนจิ้นเป็นเครื่องมือ

Search Engine Marketing คำนี้ไม่ได้เป็นศัพท์ใหม่ หลายๆ คนรู้จักกันมานานแล้ว แต่ในประเทศเราเองนั้น เพิ่งจะเริ่มตื่นตัวกับการทำ SEM นี้ในช่วง 5 ปีหลังที่ผ่านมานี้เอง หากใครยังไม่รู้ว่า Search Engine Marketing คืออะไร จะขออธิบายดังนี้

SEM หรือ Search Engine Marketing นั้น หากแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ จะหมายถึงการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ที่เด่นๆ นั้นก็ได้แก่ Google, Yahoo และ Live (MSN) โดยการทำ SEM นี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ

การทำ Search Engine Optimization (SEO) คือการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ของเราให้โดนใจ Search Engine ต่างๆ อาจจะมีการปรับโครงสร้างภายใน code, โครงสร้าง link หรือ บางทีเมื่อก่อนที่เราเคยโปรโมทเว็บเราด้วยการแลกลิงค์ (link exchange) นั้น ก็ถือว่า เป็นการทำ SEO แบบหนึ่งอีกด้วย

แต่การจะทำ SEO ได้นั้น ต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ทั้ง off-page และ on-page factor ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีผลกระทบกับการทำ SEO เป็นอย่างยิ่ง แต่อะไรจะมีคะแนนมากหรือน้อย อย่างไรนั้น ต้องไปทดลองทำด้วยตนเองถึงจะรู้ เมื่อเราทำ SEO แล้วนั้น เว็บไซต์ที่เราทำจะไปปรากฏบริเวณด้านซ้ายมือของผลการค้นหา ซึ่งแน่นอนว่า บริเวณนี้จะมีคนคลิกเป็นจำนวนมาก และคนส่วนใหญ่จะคลิกเว็บไซต์ที่ปรากฏผลในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาเป็นจำนวนมาก

เรียกได้ว่า ใครมีเว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาจะสามารถทำเงินได้อย่างสบายๆ

เพิ่มกำไรโดยลดต้นทุน

0 ความคิดเห็น
ทุก คนรู้กันดีว่า หนทางเพิ่มกำไรให้บริษัทไม่ได้มีแต่การเร่งทำยอดขายอย่างเดียว เพราะสิ่งหนึ่งที่ทำให้บริษัทใหญ่หลายแห่งสามารถประกาศผลกำไรเพิ่มขึ้นได้ ทั้งที่รายได้รวมคงที่หรือลดลง ก็คือการลดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน เรียกว่าใครลดต้นทุนได้มากกว่าก็ย่อมได้เปรียบมากกว่า

ทำเงินบนโลกไอทีสัปดาห์นี้จึงขอเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นการหาทางประหยัดบนโลก ไอทีบ้าง ซึ่งคุณภูมิพิชญ์ อังสุพานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านการหาวิธีลดต้นทุนระบบไอทีไอทีในองค์กร ได้แนะแนวทางไว้ครบเครื่องทั้งในแง่การประหยัดค่าเครื่อง ค่าแรง และค่าไฟ



ช่วงนี้กระแส GREEN IT หรือเทคโนโลยีสีเขียวได้จางหายไปทั้งที่ควรจะเป็นกระแสต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพราะ GREEN IT เป็นการเลือกใช้งานอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดสรรและลดการใช้พลังงานได้มากที่สุด ซึ่งทุกองค์กรสามารถ"เพิ่มรายได้จากการลดต้นทุน"ด้วย GREEN IT ที่ว่านี้


ต้น ทุนหลัก ๆ ที่ทุกองค์กรจะต้องเจอในปัจจุบันคือ ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบปรับอากาศ และการเดินทาง รวมทั้งค่าเอกสารและจัดเก็บเอกสาร ถ้าเราสามารถลดการใช้งานพลังงานเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้องค์กรเราเพิ่มรายได้ให้ได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังจะช่วยให้ลดมลพิษที่เกิดขึ้นในโลกนี้ลงไปได้ด้วย โดยนำเอาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้งานร่วมด้วยและทำให้เกิดประโยชน์ มากที่สุด ผมขอยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่จะทำให้องค์กรลดค่าใช้จ่ายมาให้ดูสัก 5 ข้อนะครับ


1.หันมาใช้งานระบบเวอร์ช่วลไลเซชั่น: องค์กรสมัยใหม่ส่วนมากจะต้องมีระบบคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ หรือซอร์ฟแวร์จำนวนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นระบบอีเมล์ (Email Server) ระบบจัดเก็บไฟล์ (File Server) หรือระบบบเว็บไซต์ (Web Server) รวม ๆ แล้วจะต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ (Physical) เข้ามาให้บริการระบบต่าง ๆ พวกนี้ไม่น้อยกว่า 3 เครื่อง ซึ่งในส่วนนี้ก็จะต้องเสียค่าจัดการอุปกร์เครื่องแม่ข่าย ค่าจัดวางอุปกรณ์ ค่าไฟฟ้า หรือแม้กระทั้งค่าจ้างสำหรับผู้ดูแลระบบ เป็น 3 เท่าตามไปด้วย

ในแง่ของการลดต้นทุน : แต่ถ้าเราหันมาลดต้นทุนโดยใช้งานระบบ Virtualization หรือระบคอมพิวเตอร์ แบบรวมศูนย์ที่ไม่มีค่าใช้จ่าย (ฟรี) เพื่อสร้างคอมพิวเตอร์เสมือน (Virtual Machine) และลดจำนวนเซิร์ฟเวอร์ (Physical) ลง ซอฟต์แวร์บางชนิดอย่างเช่น VMWARE ESXi สามารถรองรับ Virtual Machine ได้มากถึง 256 เครื่อง ให้อยู่ในเซิร์ฟเวอร์เพียง 1 เครื่องได้ เพื่อที่จะได้ใช้งานเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้องค์กรลดค่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ค่าไฟฟ้า ค่าแอร์ รวมทั้งค่าที่วางเครื่อง จากที่ต้องใช้เครื่องจำนวน 3 เครื่อง ลดลงมาเหลือเพียง 1 เครื่อง ทำให้ค่าใช้จ่ายลงไปได้อย่างมากและรองรับการทำงานได้เต็มที่เหมือนเดิมที่ เดียวเลย


2. เลือกใช้งาน Thin Client : แนวคิดของ Thin Client เป็นการลดขนาดและคุณสมบัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ชนิดนี้ลงให้เหมาะสมกับงาน โดย Thin Client จะตัดความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลเช่น ฮาร์ดดิสก์ ออกจากตัวอุปกรณ์ รวมทั้งลดความสามารถของหน่วยประมวลผลและหน่วยความจำลง หรือบางผู้ผลิตจะมีเพียง จอ Monitor เพียงอย่างเดียว โดยจะไปใช้งานผ่านเครื่องประมวลผลกลางแทนหรือที่เรียกว่า เซิร์ฟเวอร์ เบส ซึ่งจะทำการติดตั้งซอฟต์แวร์และระบบปฎิษัติการไว้ที่เครื่องเพื่อให้เครื่อง Thin Client เข้ามาใช้งานที่เครื่อง เซิร์ฟเวอร์ เบส หรือ สามารถใช้งานร่วมกับระบบเซิร์ฟเวอร์แบบเวอร์ช่วลไลเซชั่น ที่มีอยู่ในองค์กรก็ทำได้

ในแง่ของการลดต้นทุน : คงจะได้ผลมากกับองค์การที่มีการใช้งานคอมพิวเตอร์จำนวนมาก เพราะว่าต้นทุนของเครื่อง Thin Client มีราคาถูก กินไฟฟ้าน้อย รวมทั้งการดูแลรักษาทำได้ง่ายดายมาก ไม่ต้องวุ่นวายในการแก้ปัญหาเรื่องซอฟต์แวร์และระบบปฎิษัติการที่เครื่องผู้ ใช้งาน ในส่วนนี้เราอาจจะสร้างคอมพิวเตอร์เสมือนในระบบเวอร์ช่วลไลเซชั่น สำหรับพนักงานแต่ละคน โดยพนักงานทำแค่ Remote ไปที่เครื่องเสมือนของตัวเองที่อยู่ในระบบเวอร์ช่วลไลเซชั่น เท่านั้นก็จะได้สภาพแวดล้อมเหมือนใช้งานที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป ๆ เลย ในส่วนนี้ทำให้ไม่จำเป็นต้องจ่ายผู้ดูแลจำนวนมาก อาจจะมีช่างเทคนิค 1 ท่านดูแล Thin Client ได้ถึง 50 เครื่องในทีเดียว และเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนเกิดปัญหาเราสามารถกู้คืนง่าย ๆ ผ่านฟังก์ชั่น SnapShot ก็จะกลับมาอยู่ในสถานะเดิมในเวลาไม่กี่นาที ผ่านซอฟท์แวร์จากศูนย์กลางจากที่เดียว แถมยังประหยัดค่าไฟฟ้าและค่าเดินทางไปดูแลเครื่องพนักงานได้อีก

3. เลือกใช้งานซอฟต์แวร์แบบออนไลน์ : ทุก วันนี้เราใช้งานระบบอีเมล์ในการส่งข้อมูลไปให้กับลูกค้าอยู่แล้ว ถ้าเราหันมาใช้งานซอร์ฟแวร์แบบออนไลน์แทนระบบเดิมที่ใช้งานอยู่ เช่นระบบบริหารงานบุคคล (HR Management) พัฒนาระบบเอกสารใบลางานออนไลน์ หรือ ระบบจัดการบริหารจัดการเอกสาร (Document Management) เช่น Microsoft Sharepoint มาจัดการบริหารระบบไฟล์ข้อมูลขององค์กรทั้งหมดให้อยู่ในรูปแบบ อิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้กระทั้ง ทำใบเสนอราคาผ่านระบบออน์ไลน์ รวมกับระบบที่มีอยู่ในบริษัทอยู่แล้ว ก็จะทำให้เราทำงานได้สะดวกรวดเร็วและลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนลงไป

ในแง่ของการลดต้นทุน : คงหนีไม่พ้นระหยัดพื้นที่ในการทำงานและค่าเดินทางไปได้อย่างมาก เพราะว่าทุกอย่างอยู่บนระบบออนไลน์ทำให้สามารถดูจากที่ไหนก็ได้ที่เชื่อมต่อ กับระบบอินเตอร์เน็ต (Work at Home) แถมพนักงานยังไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถในช่วงที่น้ำมันแพงเพื่อเข้ามาเพื่อส่ง ใบลาหรือทำเอกสารเสนอราคา และประหยัดกระดาษลดการตัดต้นไม้ได้อีกได้ผลดีทั้งองค์กรและธรรมชาติ


4.เปลี่ยนมาใช้ระบบสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต : ส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดต้นทุนมากขึ้นก็คือการสื่อสารและการเดินทาง เราหันมาเปลี่ยนใช้การโทรศัพท์ผ่านระบบ Internet หรือ Network แทนการใช้โทรศัพท์ผ่านระบบโครงข่ายทั่วไป ระบบสื่อสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเรียกว่า VoIP ในส่วนนี้เราจะเสียค่าใช้จ่ายต่อครั้งต่ำกว่าหรือแทบจะไม่เสียค่าใช้จ่าย และเมื่อเราเดินทางไปทำงานนอกสำนักงาน ก็สามารถใช้ Soft Phone ที่ติดตั้งในคอมพิวเตอร์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เพื่อโทรศัพท์มายังสำนักงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนถ้าต้องการประชุมแบบเห็นภาพก็สามารถเลือกใช้งานระบบ Video Conference ที่ทำให้เห็นภาพผู้ร่วมประชุมได้แบบออน์ไลน์เสมือนเราไปนั่งอยู่ในห้อง ประชุมจริง ๆ เลย


ในแง่ของการลดต้นทุน : ลองคิดตามนะครับ ว่าถ้ามีติดต่อกับต่างประเทศหรือต่างจังหวัดบ่อย ๆ และครั้งละนาน ๆ เราเพียงแค่ไปร้าน Internet แล้วโทรผ่าน Soft Phone มายังสำนักงาของเราผ่าน ของระบบ VoIP ได้เลย ไม่ต้องเสียค่าโทรศัพท์ให้กับผู้ให้บริการพื้นฐาน ซึ่งจะเสียค่าค่าติดตั้งระบบในครั้งแรกเท่านั้น หรือในกรณีที่ต้องเดินทางหรือต้องการแสดงเอกสารเพื่อประชุมในต่างประเทศหรือ ต่างจังหวัดก็ต้องศูนย์เสียค่าเดินทางไปร่วมทั้งเวลาในการเดินทางอีก แต่ถ้าเราใช้งานผ่านระบบ Video Conference ผู้ร่วมประชุมก็สามารถเห็นเราได้เสมือนเราอยู่ที่ประชุมนั้นเลย โดยดูผ่านกล้อง Video ในห้องประชุม แน่นอนแบบนี้อย่างน้อยเราก็มีเวลาในคิดหรือทำงานได้มากขึ้นเพราะว่าเราไม่ ต้องเสียเวลาเดินทาง


5. เลือกอุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงาน : ช่วงที่มีกระแส GREEN IT แรก ๆ ทางผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ได้พัฒนาอุปกรณ์ให้รองรับการประหยัดพลังงานลง เช่น อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (Hard Disk) หยุดหมุนเมื่อไม่ได้ใช้งาน หรือ อุปกรณ์ Network ที่หยุดจ่ายกระแสไฟฟ้าที่พอร์ทนั้นเมื่อไม่มีการส่งข้อมูลมายังเครื่อง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่การเปลี่ยนมาใช้งาน Wifi แทนการเดินสาย LAN ที่ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสาย หรือการจัดเก็บซ่อมแซมสาย LAN

ในแง่ของการลดต้นทุน : ถ้าเราเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานเช่นหรือออกแบบมาให้หยุดทำงานได้ เองตอนไม่มีการใช้งาน ก็จะทำให้เราประหยัดได้ตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์ เพราะว่าอุปกรณ์ไอที จะมีอายุในการใช้งานได้ประมาณ 3 ปี ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว รวมทั้งฟังก์ชั่นที่ไม่ได้ใช้งานก็ไม่ควรจะซื้อเฝื่ออนาคตไว้นะครับ ..

สุดท้ายการเพิ่มรายได้โดยการลดต้นทุน ก็คงต้องพึ่งพาทุกคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการช่วยกันปิดไฟทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว หรือการช่วยกันลดการใช้กระดาษด้วยใช้ผ่านระบบบริหารจัดการเอกสารออน์ไลน์ หรือโทรศัพท์ผ่านระบบ VoIP หรือ Video Conference รวมทั้งช่วยกันลดการใช้งานผ่านระบบเวอร์ช่วลไลเซชั่น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนฮาร์ดแวร์ และระบบทำความเย็น

สร้างแบรนด์ด้วย iPhone

0 ความคิดเห็น
ทำไมต้องสร้างแบรนด์?

ปัจจุบัน ในยุคที่ธุรกิจมีการแข่งขันที่สูง สมรภูมิการแข่งขันของบางอุตสาหกรรมแทบจะลุกเป็นไฟเพื่อแย่งลูกค้าด้วยวิธี ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการออก Promotion กระหน่ำเพื่อสร้างยอดขาย การออกผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added Services) ให้กับตัวผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความคุ้มค่าให้กับลูกค้าให้มากที่สุด

แต่ ปัจจัยหลักสำคัญที่จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวบริษัทในระยะยาวนั้น อยู่ที่การสร้าง “Brand Equity” ของบริษัท ซึ่งเป็นปัจจัยที่บริษัทต่างๆจะต้องให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ

“Brand Equity” คือ มูลค่าสินทรัพย์และคุณค่าของแบรนด์ที่อยู่ในใจของลูกค้าหรือผู้บริโภค จนทำให้แบรนด์หรือตราสินค้านั้นๆสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงๆให้กับเจ้าของ ได้ หรือจะกล่าวถึงประโยชน์ก็คือ แบรนด์หรือตราสินค้า ที่ไปติดอยู่บนตัวสินค้าใดสินค้าหนึ่ง แล้วสามารถขายในราคาที่สูงมากกว่าสินค้นอื่นๆที่เป็นสินค้าแบบเดียวกันแต่ ไม่มี “Brand Equity” ได้

วิธีการสร้าง “Brand Equity” สามารถเริ่มได้ง่ายๆ โดยการทำให้คนอื่น รู้จักแบรนด์ของเรา หรือ เรียกว่าเป็นการสร้าง Brand Awareness ซึ่งทำได้โดยการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ไปสู่กลุ่มเป้าหมายของสินค้าและบริการที่ต้องการ โดยอาศัย สื่อ (Media) เป็นช่องทางในการนำส่งข้อความหรือเนื้อหาสาระที่เจ้าของแบรนด์นั้นๆ


ตัวอย่าง Brand Equity ที่มีมูลค่าสูง คือ brand “Intel” ที่สามารถสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ได้อย่างมหาศาล แม้ว่า Intel จะไม่ใช่ผู้ผลิต PC เลยก็ตาม

แบรนด์ “Virgin” เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มี Brand Equity สูง สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจในเครือกว่า 200 แบรนด์ได้อย่างมหาศาล เพราะเป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแรงในตัว สามารถต่อยอดสร้างมูลค่าไปยังธุรกิจอื่นได้


สื่อต่างๆกับการสร้างแบรนด์

"สื่อ"ที่เป็นตัวเลือกสำหรับใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์มีหลากหลายช่องทางใน ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น สื่อเก่า (Traditional Media) อย่าง ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือ จะเป็นสื่อใหม่ (New Media) อย่าง เว็บไซต์ หรือ โทรศัพท์มือถือ

ในยุคที่อินเตอร์เน็ตเฟื่องฟู สื่อใหม่ ได้เข้ามาท้าทายสื่อเก่า เพราะ มีความเฉพาะเจาะจงส่วนบุคคล (Personalization) ที่มากกว่าสื่อเดิม การเข้าถึงตัวผู้บริโภค (Reach) ที่สูงกว่าเดิม โดยสังเกตได้จากเวลาที่คนใช้อินเตอร์เน็ต เริ่มสูงขึ้นจนแย่งเวลาในการดูทีวีให้ลดน้อยลง รวมไปถึงต้นทุนของสื่อใหม่ ที่ต่ำกว่าการใช้สื่อเก่าหลายเท่า จนทำให้สื่อใหม่ ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ ในแวดวงการสื่อสารการตลาดทั่วโลก

สื่อมือถือ เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการสร้างแบรนด์ เนื่องจาก

• มี Personalization สูง
• มีจำนวน Penetration ที่สูงกว่าสื่อเดิม (เช่น ในประเทศไทย มีจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ มากกว่า 60 ล้านคน ซึ่งสูงกว่า ทีวีมาก เพราะ ทีวีโดยเฉลี่ย จะนับจำนวนเป็นบ้านหรือครัวเรือน และไม่แน่ว่า คนในบ้าน จะได้ดูทีวีทุกคน และไม่ใช่ว่าทุกคน จะดูช่องเดียวกัน)
• มีการเข้าถึง (Reach) ที่เข้าถึงตัวผู้บริโภคได้ตรงๆ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว โทรศัพท์มือถือจึงเป็นสื่อที่มีศักยภาพสูงมากสื่อหนึ่ง จนถูกเรียกว่าเป็นหน้าจอที่ 3 (Third Screen) ต่อจากหน้าจอทีวี และหน้าจอคอมพิวเตอร์


ทำไมต้อง iPhone

แม้ จำนวนโทรศัพท์มือถือจะมีอยู่จำนวนมาก แต่เมื่อกลับมาดูในโลกของความเป็นจริงแล้ว การโฆษณาโดยใช้มือถือเป็นสื่อนั้น กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

สาเหตุและปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีการที่นักการตลาดเลือกใช้ เช่น การส่ง SMS โฆษณาไปถึงตัวผู้บริโภคโดยตรง กลับกลายเป็นการสร้างความรำคาญให้กับผู้บริโภค และแม้ว่าจะมีการสร้างแคมเปญโฆษณาแบบสมัครใจ (Opt-in Campaign) เพื่อเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว แต่ก็ยังไม่ดึงดูดใจมากพอ และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ User Experience ที่ไม่ดี อันเนื่องมาจากขีดจำกัดทางด้านตัวเครื่องมือถือ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละตลาด ไม่ว่าจะเป็นมือถือจอใหญ่ จอเล็ก ระบบเสียง ทำให้นักสื่อสารการตลาด ไม่สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ดี สู่หน้าจอมือถือของผู้ใช้ได้

ตลาดโฆษณาประชาสัมพันธ์บนมือถือที่ผ่านมา จึงเป็นได้แค่ตลาดที่มีศักยภาพสูง แต่ไม่สามารถดึงศักยภาพนั้นออกมาใช้งานได้จริง จนเมื่อ iPhone โทรศัพท์มือถือของ Apple ผู้ผลิต Hardware Computer และ เครื่อเล่น mp3 ชื่อดัง อย่าง iPod ได้เข้ามาปฏิวัติวงการโทรศัพท์มือถือ ทั้งในเรื่องของการออกแบบตัวเครื่อง การนำเสนอ User Interface ที่ใช้ง่าย น่าดึงดูดให้ใช้ และ User Experience ที่ผู้ใช้ทุกคนจะได้รับ เมื่อมีการใช้งาน ทำให้ iPhone กลายมาเป็นสื่อหนึ่งที่ทางบริษัทต่างๆให้ความสนใจในการใช้สร้างแบรนด์

จน อาจกล่าวได้ว่า iPhone พลิกอุตสาหกรรมมือถือ ให้กลับมาน่าสนใจ ในแง่ของการเป็นสื่อ เพื่อวัตถุประสงค์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์และการสร้าง Brand Awareness ให้กับผู้ใช้ iPhone ทั่วโลก

ด้วยยอดขายถล่มทลายของ iPhone และ iPod Touch ในหลายๆประเทศ มากกว่า 37 ล้านเครื่อง รวมไปถึงจำนวน Application ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้บน iPhone ที่มีถึงกว่า 48,000 application ในระยะเวลาเพียง 11 เดือนโดยมียอดผู้ใช้ดาวน์โหลดรวมกัน กว่าพันล้านครั้ง ภายในเวลาเพียง 9 เดือน เรียกได้ว่าทำลายทุกสถิติของการพัฒนา application สำหรับโทรศัพท์มือถือ

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ iPhone ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด จากนักการตลาด และผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้สื่อโฆษณาทั่วโลก

ปรากฏการณ์นี้ทำให้บริษัทชั้นนำยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ต่างก็เริ่มเห็นความสำคัญของ iPhone ว่าน่าจะสามารถ สร้างความแตกต่างไปจากสื่อดิจิตอลทั่วไป หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือด้วยกันเอง เนื่องจากตัวฟังก์ชั่นที่ล้ำหน้าของตัว iPhone ทำให้บริษัทต่างๆ สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ดีกว่าในการสร้างแบรนด์สินค้าให้กับลูกค้าได้ ผ่าน iPhone App

ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Branded Application” จึงเกิดขึ้นในที่สุด

ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดัง อย่าง Audi ที่ออกเกมขับรถอย่าง Audi A4 Driving Challenge และ เกมขับรถแข่ง อย่าง Truth in 24

หรือค่ายรถหรูอย่าง BMW ที่ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งเกมขับรถสปอร์ตสุดสวยรุ่น Z4 กับเกม BMWZ4 Experience ออกมาประชัน

และล่าสุด ค่ายรถ Volkswagen ก็ออกเกมขับรถ Polo Challenge เช่นกัน

ทุกเกม นอกจากจะมีวัตถุประสงค์หลักในการใช้สร้างแบรนด์และเป็นการโฆษณาสินค้าของตน ยังมีเป้าหมายในการสร้างประสบการณ์ร่วมของลูกค้าไปกับการทดลองขับรถในเกม เพื่อเพิ่มความประทับใจ ให้มากกว่าแค่การได้เห็นโฆษณาและแบรนด์

นอกจากแบรนด์สินค้ารถยนต์ระดับบนแล้ว ยังมีแบรนด์สินค้าสำหรับ Consumer ทั่วไป ที่ใช้ iPhone ในการสร้างแบรนด์และเสริมภาพลักษณ์ของตน อย่างเช่น Kraft ผู้ผลิตอาหารชั้นนำของโลก


Kraft มี iPhone App ชื่อว่า “iFood Assistant” ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ iPhone เพราะมียอดดาวน์โหลดเป็นอันดับต้นๆ ทำหน้าที่เป็นคู่มือสอนทำอาหาร สูตรทำกับข้าวต่างๆ แถมยังบอกอีกด้วยว่าจะไปซื้อส่วนประกอบที่ใช้ทำอาหารนั้นๆ ได้จากร้านไหนบ้าง

และแน่นอนว่า ต้องเป็นร้านที่จำหน่ายสินค้าของ Kraft

นอกจากแบรนด์ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอีกหลายๆบริษัทที่พยายามสร้างแบรนด์โดยใช้วิธีการทำ “Branded Application” บน iPhone ออกมาให้ผู้ใช้ iPhone ดาวน์โหลดไปลองใช้ เช่น รถยนต์สปอร์ต Porche , กางเกงยินส์และเสื้อผ้า GAP , ผลิตภัณฑ์ Nike ,เครื่องดื่ม Coke , เบียร์ Heineiken , ไฟแช็ค Zippo ,

หลายคนอาจจะสงสัยว่า การสร้างแบรนด์และการใช้ iPhone เป็นสื่อโฆษณาด้วยวิธีนี้ ได้ผลดีจริงเหรอ

จากข้อมูล app “A4 Driving Challenge” ของ Audi มีผู้ดาวน์โหลดไปเล่น ถึง 370,000 ครั้ง ในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ที่เปิดตัว


“Virtual Lighter” ของ Zippo ซึ่งเป็น App ที่ให้ผู้ใช้ ออกแบบดีไซน์ไฟแช็ค ตามแบบที่ตัวเองต้องการ เช่น การเลือกแบบ เลือกลายต่างๆของไฟแช็ค Zippo แล้วนำมาสลักชื่อเป็นชื่อของตัวเอง ก็มียอดการดาวน์โหลดกว่า 3 ล้านครั้ง ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน จนขึ้นไปติดอันดับ Top Free ของ App Store ในหมวด Lifestyle อยู่นาน

แม้ ว่า “Branded Application” ส่วนใหญ่ จะดาวน์โหลดได้ฟรี แต่สำหรับ “iFood Assistant” ของ Kraft นั้น ผู้ใช้กลับต้องเสียเงินในการซื้อ App นั้นมาใช้ในราคา $0.99 และที่น่าแปลกใจ คือ “iFood Assistant” กลายเป็น App ที่ขายดีมาก จนติดอันดับต้นๆของ App ขายดีจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่ามันจะเป็น App ที่มีโฆษณาของ Kraft อยู่มากมายก็ตาม

จากความนิยมอย่างสูง ในตัวของ “Branded Application” เหล่านี้ ทำให้นักการตลาดสรุปว่า ผู้บริโภคไม่ได้มองว่าวิธีการนี้เป็นการโฆษณาสินค้าหรือแบรนด์ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการได้รับโฆษณา ไม่ว่าจากทางใดก็ตาม โดยสังเกตได้จาก การที่ผู้บริโภค ยอมเสียเงินซื้อ App ของ Kraft ทั้งๆที่รู้ว่า มันคือ การโฆษณาแบบหนึ่ง (จ่ายเงินให้ Kraft แถมยังต้องมาดูโฆษณาของ Kraft อีก)

ทั้งหมดนี้ เป็นตัวอย่าง Campaign นี่น่าสนใจ ในการสร้างแบรนด์บนมือถือ iPhone ครับ ตอนนี้ สมรภูมิรบด้านโทรศัพท์มือถือ เริ่มร้อนระอุ เมื่อทั้งเจ้าตลาดมือถือรายใหญ่สุดอย่าง Nokia ก็ได้ออกบริการ Ovi ซึ่งเป็นตลาดซื้อขาย app บน platform ของ Nokia รวมไปถึง Blackberry ก็มีตลาดซื้อขาย app ของตัวเองชื่อ App World หรือแม้แต่ยักษ์ใหญ่ด้าน Search Engine อย่าง Google ก็ยังส่ง Android Market เพื่อมาเป็นคู่แข่งกับ Apple

สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งตอกย้ำแนว โน้มของการพัฒนา application บนมือถือ และ จะช่วยยกระดับการเป็นสื่อใหม่ของมือถือ ให้เต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็นสื่อที่มีอิทธิพลที่สุด เหนือกว่า traditional media เดิมก็ได้ครับ
 
Copyright 2009 TVI Express GoGo
BloggerTheme by BloggerThemes | Design by 9thsphere